Page 62 - เพชรราชภัฏ-เพชรล้านนา ประจำปี 2566
P. 62
๕๖
่
ั
และเจิงสาวไหมอนลือชื่อ จากนั้นอกหลายปีต่อมา นายศรัณ ได้ฝากตัวเป็นศิษย์พอครูน้อยทอง วงศ์สวย
ี
่
แห่งบ้านสันโป่ง อาเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งพอครูน้อยทองได้ร่ าเรียนเจิงจากผู้เป็นบิดาที่สืบสายลายเจิง
อนแข็งแกร่งและองอาจ สายเหนือของเชียงใหม่ นอกจากนั้นยังมีโอกาสได้รับการสั่งสอน และค าแนะน าจาก
ั
ี
ผู้รู้และครูเจิงอกหลายท่านที่ได้ให้ความรู้ด้วยความเมตตา เช่น ครูโอ พรชัย ตุ้ยดง ผู้เชี่ยวชาญลายลื้อและศาสตราวุธ
ล้านนา พ.อ.(พิเศษ) อ านาจ พุกศรีสุข แห่งมวยไทยนวรัช เป็นต้น
่
ปัจจุบัน นายศรัณ สุวรรณโชติ ยังคงศึกษาวิชาเจิงอย่างต่อเนื่อง โดยฝากตัวเป็นศิษย์พอครูทรงชัย
สมปรารถนา เจ้าส านักดาบอารียเมตต์หริภุญไชยฯ อ าเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และเพชรราชภัฏ – เพชรล้านนา
ั
้
ประจ าปี ๒๕๖๔ สาขาศิลปะ ด้านการแสดง (เจิงฟอน เจิงฟน) ซึ่งจะเน้นไปในทางการต่อสู้อาวุธโบราณ
เน้นทางการใช้งานและพัฒนาต่อยอดองค์ความรู้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นต้นมา
ห้าปีแรกที่นายศรัณ ได้ฝึกฝนเจิง เรียนรู้แม่ลาย ท่าเดิน และท่าตบมะผาบต่าง ๆ เมื่อฝึกจนคล่องแคล่ว
ั
ครบสิบปีเริ่มเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น หลังจากนั้นเป็นต้นมาได้พฒนาและต่อยอด
องค์ความรู้ด้วยการคิดท่าทางใหม่ ๆ ด้วยตนเอง ในวันที่ ๔ กรกฏาคม ๒๕๕๙ นายศรัณได้เปิดส านักภูมิปัญญา
ื่
บ้านสล่าเจิงล้านนา ด้วยการสอนลายเจิงให้เยาวชนไทยโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ เพอมุ่งหวังสืบสานและสืบทอด
องค์ความรู้ลายเจิงให้กับเยาวชนคนรุ่นใหม่และผู้ที่สนใจ โดยนายศรัณ มีหลักในการสอนเจิง ๓ ส่วน ส่วนแรก คือ
ขุม เป็นแผนผังการเดินหรือยุทธวิธีการย่างก้าวที่ต้องฝึกตั้งแต่แรกเริ่ม ในอดีตถือกันว่าเป็นความลับขั้นสุดยอด
ของสายวิชา จะให้ผู้ใดล่วงรู้ไม่ได้ โดยขุมจะมีต าแหน่งการเดินต่าง ๆ เป็นแผนผัง ตั้งแต่หนึ่งขุมเรื่อยไปจนถึง
๓๒ ขุม โดยแต่ละสายวิชาก็จะมีแบบแผนเป็นของตัวเอง และแต่ละขุมก็จะมีระดับชั้นของตัวเอง ส่วนที่สอง คือ
ตบมะผาบ คือ การท าเสียงเลียนแบบประทัด ผาบ ในภาษาเหนือ หมายถึง ปราบ ดังนั้น การออกเสียงมะผาบ
จึงเป็นการท าให้ดูน่าเกรงขาม และข่มขู่คู่ต่อสู้ ด้วยการตบไปตามเนื้อตัวให้เกิดเสียงดัง และท่วงท่าต้องดูสง่างาม
คล่องแคล่วว่องไว ขณะที่ตบไปตามเนื้อตัวก็จะกล่าวค าไหว้ครูไปด้วย เสมือนเป็นการไล่ลม กระตุ้นกล้ามเนื้อ และ
เส้นเอนต่าง ๆ ให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะต่อสู้ หากเป็นสมัยก่อนคนมีวิชาอยู่ยงคงกระพนจะเป็นเหมือนการร่าย
็
ั
เวทมนตร์และคาถาไปตามเนื้อตัว และส่วนที่สาม คือ แม่ไม้ลายเจิง ท่าทางหรือกระบวนการต่อสู้ต่าง ๆ
ซึ่งมีหลากหลายท่า เช่น ท่าบิดบัวบาน ท่าสาง ท่าเกี้ยวเกล้า ท่าเสือลากหาง ท่าหมอกมุงเมือง ทั้งนี้แต่ละครู
ก็จะพลิกแพลงแตกต่างกันไป ทว่าในสายเจิงของชาวล้านนาแล้วจะมีบางท่าที่ละม้ายคล้ายคลึงกันหรืออาจใช้
ร่วมกันได้ก็มี ส าหรับท่าแม่ไม้ลายเจิงที่ถือว่าเป็นท่ามาตรฐาน คือ ท่าบิดบัวบานกับท่าเกี้ยวเกล้า ซึ่งทั้งสองท่า
จะเป็นการบิดหมุนข้อมือและแขนให้มีลักษณะเป็น “บ้วง” หมายถึง การเคลื่อนไหวมือให้โค้งเป็นวงกลมเหมือน
บ่วงบาศ พร้อมกับการก้าวย่างเท้าให้มั่นคง ไม่สะเปะสะปะหรือเรียกว่า “บาท” ความแตกต่างของสองท่านี้
ี
อยู่ที่ท่าเกี้ยวเกล้าจะบิดหมุนขยายตัวมากกว่าท่าบิดบัวบานที่กระท าเพยงข้อมือ แต่สิ่งที่เหมือนกัน คือ เป็นท่าที่มี
ความสวยงาม อ่อนช้อย และยังเป็นเคล็ดวิชาชั้นสูงอีกด้วย