Page 160 - เพชรราชภัฏ-เพชรล้านนา ประจำปี 2566
P. 160
๑๕๔
ทางไปทีละน้อย เสียงในใจดังมาแว่ว ๆ ว่าไม่หลงทาง ๆ เป็นเราเองที่เลือกเอาเรื่องเจิงเป็นตัวตั้งในครรลองชีวิต
ื่
สิ่งอนเป็นเรื่องรองลงมา เพราะตั้งเป้าหมายให้เจิงเลี้ยงชีพให้ได้ เปลี่ยนวิชาเป็นเงิน เอาเงินเลี้ยงครอบครัว
เอาเวลาของครอบครัวมาสืบสานงานเจิงต่อไป งานสอน งานเผยแพร่ งานแสดง การจัดกิจกรรม การท าสื่อ ฯลฯ
คือ รูปธรรมที่คิดและท ามาตลอดยี่สิบหกปีในเส้นทางสายเจิง หากเป็นธุรกิจคงล้มละลายไม่รู้เท่าไร เพราะเป็นเรื่อง
้
เพอฝัน สิ่งที่คิดกับความจริงไม่สอดคล้องกันเท่าไหร่ แต่ภาพที่ออกมาดูสวยดี แต่ถึงอย่างไรก็ถอยไม่ได้แล้ว
จึงมุมานะพากเพยรต่อไป และท าใจ เพราะยุคบุกเบิกไม่ใช่ยุครุ่งเรือง หน้าที่ของคนบุกเบิก คือ กรุยทาง สิ่งที่ได้
ี
คือ บาดแผลและรอยช้ า แรงก าลังไม่ได้มากเหมือนปีก่อน ๆ ริ้วรอยบนใบหน้าสะท้อนความทุกข์ยากล าบากกาย
ล าบากใจ แต่ยังสู้อยู่ ลุยต่อรออะไร ก าลังใจยังดี นี่แหละวิถีแห่งเจิงของนายศรัณ สุวรรณโชติ
นายศรัณ ได้ร่วมผลักดัน "เจิง" ให้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ
ุ
สาขาศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวโดย กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ประจ าปีพทธศักราช ๒๕๕๕
(ขึ้นทะเบียนเมื่อวันศุกร์ ที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย) มีอาจารย์ชาวญี่ปุ่น
ิ
นายคัทซึฮโระ โอทซึกิ ซึ่งเป็นหมอฝังเข็ม ที่สนใจศิลปะของไทยมาเรียนลายเจิงกับนายศรัณ และกลับไปก่อตั้ง
้
สมาคมฟอนเจิงแห่งประเทศญี่ปุ่น ขณะนี้ก าลังสร้างเครือข่ายอย่างเข้มแข็งและเป็นระบบ ณ ประเทศญี่ปุ่น
ี
ในอกฟากฝั่งยุโรปจะมีบุคลากรที่ก าลังบ่มเพาะวิชาความรู้ไปท าการเผยแพร่อย่างเป็นระบบเช่นกัน
ส่วนนายศรัณ พยายามสืบต่อความรู้นี้ให้กับคนรุ่นใหม่ ด้วยการสอนลายเจิงให้เยาวชนย โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ
นายศรัณ ได้ตั้งจิตปวารณาตนที่จะสืบสายวิชาให้กว้างไกลและลึกซึ้ง ตั้งแต่ตอนอายุ ๑๕ ปี เมื่อครั้งยังเด็ก
และออนหัด ไม่รู้จักโลกกว้างใหญ่แต่ใจล่วงไปข้างหน้าแล้วอย่างมุ่งมั่น ผ่านมา ๒๘ ปี อดมการณ์และอดมคติ
ุ
ุ
่
ยังตั้งมั่น ไม่สั่นคลอน และไม่ถดถอยหนีจากเส้นทางเดิม เวลานับจากนี้ไปถึงบั้นปลายชีวิต ระยะทางคงน้อยกว่าที่
ก้าวเดินล่วงมาแล้ว จึงไม่แปลกที่เรื่องราวเกี่ยวกับเจิงจะถูกเล่าขานผ่านชีวิตด้วยความคิด การกระท า และค าพด
ู
สล่าเจิงไม่ใช่พระ อย่าสร้างความเชื่อความเลื่อมใสศรัทธาด้วยการสร้างมโนคติว่า สล่าเจิงจะเป็นคนดีศรีสังคม
สล่าเจิงเกิดมาด้วยมานะคติแห่งการ "ฆ่า" เรามุ่งตรงไปที่จุดตายเท่านั้น เราฝึกเพอวิถีในการสังหารศัตรูให้ง่าย
ื่
รวดเร็วและรุนแรงที่สุด นั่นคือ วิถีแห่งเรา จริงอยู่ที่เราเพาะบ่มจริยาวัตรให้ดีงามภายใต้กรอบของสังคม นั่นเป็น
สิ่งที่ควรแล้ว มิเช่นนั้นเสือร้ายจะชุกชุมฟดกันไม่เว้นว่าง และสุดท้ายจะกระทบกระเทือนสังคมส่วนรวม วิถีของ
ั
สล่าเจิงถูกสั่งสมและสั่งสอนสืบทอดผ่านรุ่นสู่รุ่น มาถึงปัจจุบัน สิ่งที่ไม่เหมาะกับยุคสมัยก็ผ่อนปรนคลี่คลาย
ไม่เช่นนั้นอยู่ร่วมกันไม่ได้ วิชาก็จะตายไปอย่างไร้คุณประโยชน์ ในวันนี้วิชาเจิงยังครึ่งผีครึ่งคน หากเทียบวันนี้กับ
เมื่อสิบปี ยี่สิบปีก่อน แม้ได้ขยับขยายแต่ยังไม่ใช่จุดที่มั่นคง สถานการณ์สายวิชาเจิงในวันนี้เหมือนเรือเก่าที่ถูกเข็น
ลงจากอซ่อมลงสู่ล าน้ าใหญ่ ด้วยฝีพายเรื้อฝีมือ เรือจึงลงขวางล าน้ าเชี่ยว สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก จะตั้งล าได้หรือ
ู่
จะพลิกคว่ าตอนนี้อยู่ที่ประสบการณ์และฝีมือบวกกับโชคชะตาฟาลิขิต หากคนบนเรือสามัคคีกันโอกาสรอดมีสูง
้
่
หากใจไม่นิ่งมีความหวาดผวาหรือยื้อแย่งแขงขันชิงดี โอกาสคว่ าตายทั้งล าก็มีโอกาสสูงเช่นกัน เก่งแค่ไหนก็ไม่รอด